จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

“ ถั่งเช่า เห็ดถั่งเช่าสีทอง"



  

“ถั่งเช่า” หรือ “ดอง ชอง โช” มีความหมายว่า “หญ้าหนอน” (ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า) ถั่งเช่านั้นเป็นเห็ดรา อีกทั้งถือเป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง และเนื่องจากถั่งเช่ามีปริมาณน้อยมาก การเก็บจึงค่อนข้างลำบาก ทำให้ราคายิ่งแพงมากขึ้นและกลายเป็นยาที่มีค่าสูงมากดุจดังทองคำ ตามที่ได้รับขนานนามว่าเป็นทองละมุน (Soft gold) ส่วนที่มาของเห็ดเทวดาถั่งเช่า ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านเห็ด องค์การสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2524-2548 เกริ่นให้ฟังว่า แท้จริงแล้ว เห็ดถั่งเช่าที่วางขายในเมืองไทยนั้น ไม่ใช่เห็ดของแท้ส่งตรงจากทิเบตมาแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตของเทคโนโลยีไม่ใช่กระบวนการทางธรรมชาติ ถ้าของจริงต้องไปซื้อของภูฏาน เพราะที่นั่นรัฐบาลเขาจะออก Certificated ให้ทุกตัวหนอน แต่อย่างเมืองจีนขายแบกะดิน กิโลฯ ละสองล้านอย่างนี้ มันเป็นของปลอม
 
        “ถั่งเช่าจะแท้ จะปลอม ก็เอามาจากจีนทั้งนั้นแหละครับ แต่ว่าถั่งเช่าแท้เนี่ย ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,000 เมตรขึ้นไปย่าง ประเทศภูฏาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเห็ดชนิดนี้มากที่สุด มันจะเกิดขึ้นตามตัวหนอนที่มันอยู่ใต้ดิน เวลาหิมะตกมันก็จะอยู่จำศีลอย่างนั้น ยกเว้นเวลาหิมะละลาย แต่ว่าบางปีที่หิมะมันไม่ละลาย มันก็จะจำศีลอยู่ พอหิมะละลายมันก็จะออกมาเพื่อจะกินน้ำค้าง ใบไม้ รากไม้ 

        ขณะที่มันโผล่ออกมา ถ้าเกิดมันบาดเจ็บ มันก็จะเป็นเชื้อรา ทีนี้ถึงมันเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราเนี่ย มันก็จะไม่ตายทันที เพราะฉะนั้นมันก็จะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ หิมะตกก็จำศีล หิมะละลายก็โผล่ขึ้นมา แล้วผ่านไปประมาณ 6 ปี มันถึงเกิดออกมาเป็นผีเสื้อ เพราะฉะนั้นขณะที่มันมีเชื้อราอยู่ในตัวมันเอง มันจะป่วย พอป่วยแล้วมันก็ยังฟักตัว เนื่องจากว่ามันยังอยู่ใต้ความเย็นสูง พอมันอุ่นขึ้นมา ถ้ามันบาดเจ็บ หรือโดนเชื้อราเข้าไป มันก็จะขึ้นมาตาย ไม่กลายเป็นผีเสื้อ พอออกมาตายปุ๊บ ร่างกายข้างในมันมีเชื้อรา
        ไอ้ เชื้อราตัวนี้มันก็จะกินตับไตไส้พุงจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วก็ออกมาเป็นดอก เห็ด เพราะฉะนั้น ข้างในมันจะเป็นเส้นใยของเห็ดทั้งนั้น แต่ข้างนอกจะเป็นปลอกหุ้มของตัวหนอน เพราะฉะนั้น ทั้งหมดมันคือเชื้อเห็ดถั่งเช่า
 
        ส่วนความนิยมของเห็ดถั่งเช่า หรืออีกชื่อคือ หญ้าหนอน นั้น ดร.อานนท์ กล่าวต่อไปว่า คาดว่าน่าจะเกิดในช่วงราวปี 1993 หลังนักกีฬาจีนทำสถิติโลกในการแข่งขันกรีฑาโลก โดยกินเห็ดถั่งเช่าก่อนการแข่งขัน ผู้คนมากมายที่อยากอึดทนทายาดเลยให้ความสนใจและเรียกร้องหาเห็ดวิเศษชนิดนี้
 
        “ในปี 1993 เนี่ย นักกีฬาของจีนไปแข่งที่ประเทศเยอรมนี แข่ง Indoor Athlete สรุปว่านักกีฬาหญิงเข้าไปทำลายสถิติถึง 9 คน แล้วโค้ชของนักกรีฑา เขาก็บอกว่า เขากินเห็ดถั่งเช่า แล้วทีนี้ในปี 1994 มีการประชุมกันที่โทรอนโต ประเทศแคนาดา ของคณะกรรมการโอลิมปิก เพื่อที่จะประชุมกันว่า คนที่กินเห็ดถั่งเช่าจะแบนได้มั้ย ถือเป็นการเอาเปรียบคนอื่นมั้ย ปรากฏว่าแบนไม่ได้ เพราะมันเป็นอาหารชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ยา พอหลังจากนักกรีฑาเอาไปกินแล้ว เนื่องจากมันใช้ออกซิเจนได้ดี วิ่งแล้วไม่เหนื่อย หลังจากปี 1994 ที่ว่าแบนไม่ได้ จากไอ้ตัวหนอนสกปรกๆ น่ารังเกียจ มันก็กลายเป็นของที่มีราคา
 
        เรื่องอันดีของคนไทยคือการเพาะเห็ดเถ่าชั่งได้เอง เรียกว่า “เห็ดถั่งเช่าสีทอง” ผลงานการวิจัยของ ดร.อานนท์ นั่นเอง ซึ่งเห็ดถั่งเช่าสีทองนั้น เกิดจากการเพาะเลี้ยงทั้งดอกและเส้นใยเห็ด โดยเห็ดถั่งเช่าสีทอง Cordyceps militaris ซึ่งเป็นเห็ดตระกูลเดียวกับเห็ดถั่งเช่า แต่คนละเหล่าพันธุ์(Species) เป็นเห็ดที่พบอยู่ทั่วไป ในระดับที่มีอุณหภูมิระหว่าง 10-28 องศาเซลเซียส เป็นเห็ดที่มีส่วนประกอบของสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่และยาหลายชนิดที่สูงกว่า เห็ดถั่งเช่าแท้ๆ
 
       เห็ดถั่งเช่าสีทองก็เหมือนเห็ดถั่งเช่าแท้ แต่ไม่ได้เกิดในระดับสูงกว่าน้ำทะเล แล้วมันโตไวกว่า เพาะได้ง่ายกว่า มีสารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) สูงกว่า เดี๋ยวนี้ทั้งโลกก็หันมาเพาะเห็ดถั่งเช่าสีทอง เพราะมันเพาะได้ง่ายกว่า” ดร.อานนท์ระบุ
 
       แจง “ถั่งเช่า” ไม่ใช่ไวอากร้า
 
        สรรพคุณอวดอ้างมากมายบนหน้าอินเทอร์เน็ตเมื่อค้นหาคำว่า “ถั่งเช่า” ไม่ ว่าจะเป็น ป้องกันไข้, ป้องกันหวัด, แก้อาการภูมิแพ้, แก้อาหารหอบหืด, แก้ไอเรื้อรัง, บำรุงปอด, บำรุงไต พูดง่ายๆ ว่า ถั่งเช่าเป็นยาเทวดา ยาบำรุงร่างกายขนานเยี่ยมที่ช่วยแก้เรื่องสมดุลร่างกายให้ปกติและใช้งานได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ
 
        “สรรพคุณเด่นของมันก็จะมีสารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) หรือ คอร์ไดซิปิค แอซิด (Cordycepic acid) สาร ตัวนี้มีความสามารถช่วยดึงเอาออกซิเจนมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นก็หมายถึงเวลาเราหายใจ มีอาการเหนื่อยล้า หรือต้องขึ้นที่สูง มันจะช่วยให้เราไม่เหนื่อย ไม่หอบ ลักษณะมันก็จะเป็นอย่าง นั้นเราอาจเรียกว่าการบูสท์ (Boost) ทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้สูงขึ้น นั่นหมายถึงผู้ป่วยหรือผู้อะไรต่างๆ ที่หายใจลำบาก หรือกำลังพักฟื้น ร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนแอ สารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) มันก็จะช่วยดูดออกซิเจนมาใช้ได้ดียิ่งขึ้น ตัวนี้ตัวเด่น
 
        จากนั้นก็เป็นเรื่องที่ถั่งเช่ามันมีสารโพลิแซกคาไรด์ (Polysaccharide) หรือที่เราเรียกว่า เบต้ากลูแคน (Beta glucan) โดยปกติ พืชทั่วไปเนี่ย พวกข้าว อะไรต่างๆ มันจะเป็นเบต้ากลูแคน 14 แต่ว่าเห็ดถั่งเช่าเนี่ยมันจะเป็นเบต้ากลูแคน 13 กับ 16 เวลาเรากินเห็ดเข้าไปแล้วเนี่ย มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของเราสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่ง ถ้าหากเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี เวลาเราไม่สบาย เป็นหวัด หรืออะไรก็ดี การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย มันก็ต่อสู้ได้ โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมา อันนี้คือสรรพคุณที่สำคัญในเห็ดถั่งเช่า” ดร.อานนท์อธิบาย
 
        อีกหนึ่งสรรพคุณเด็ดที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ สมุนไพรที่เหล่าชายต้องการ “ไวอากร้าธรรมชาติ” คำอวดโอ้ที่หนุ่มๆ หลายคนเห็นแล้วตาลุกวาว ซึ่งแท้จริงหาใช่เช่นนั้นไม่ เห็ดถั่งเช่าไม่ได้สามารถกระตุ้นกำหนัดของท่านชายได้แต่อย่างใด ดร.อานนท์ อธิบายต่อไปว่า มันเป็นเพียงผลพลอยได้ เมื่อร่างกายแข็งแรง มีเรี่ยวแรงพลังเหลือเฟือ อะไรๆ ก็ดูฟิต ปึ๋งปั๋งดั่งใจไปหมด
 
        “มันเป็นผลส่วนรวมไงครับ ปกติการดึงออกซิเจนไปใช้ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นสมรรถภาพทางเพศหรือทางร่างกาย หรือผู้ป่วยต่างๆ ที่กำลังพักฟื้นเนี่ย ก็จะดีขึ้นและเร็วขึ้น แล้วส่วนใหญ่คนก็ชอบมุ่งไปทางยาโป๊ว หรือยาเพิ่มพลังทางเพศ แต่ว่าความจริงมันไม่ได้ไปเร่งฮอร์โมนทางเพศ ไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น แต่มันทำให้สมดุลในร่างกายมันดีขึ้น คือหมายถึงว่าทุกส่วนในร่างกายมันจะดีขึ้น ร่างกายก็จะมีกำลังฮึกเหิมขึ้น ความอ่อนเพลียก็น้อยลง ทำนองนี้ ไม่ได้เหมือนกับไวอากร้า ไม่ใช่ลักษณะนั้น”
 
       เคาะราคา “ถั่งเช่า”
 
        เอ่ยอ้างสรรพคุณถั่งเช่า สมุนไพรอัศจรรย์แก้สารพัดโรค ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live จึงได้ลงสำรวจร้านขายยาจีน-สมุนไพรจีน ย่านเยาวราชและพื้นที่ใกล้เคียง พบว่า พอมีร้านจำหน่ายถั่งเช่าอยู่บ้างเป็นบางร้าน และทุกร้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ณ ตอนนี้ ยอดขายไม่สูงมากนัก เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งราคาที่ว่าแพงนั่นก็สูงถึงกิโลกรัมละ 2,500,000 บาทเลยทีเดียว
 
        ร้านเอี๊ยะแซ
        “มันก็มีทั้งถูกทั้งแพง ตามแต่คุณภาพ แล้วผมว่าสรรพคุณมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ราคาแพงเพราะมันหายาก ปลูกไม่ค่อยขึ้น อีกอย่างช่วงหลังๆ คนหันมานิยมกินมากขึ้น เป็นที่ต้องการในตลาด ราคาเลยปรับสูงขึ้น ซึ่งทางร้านเราไม่ได้เอามาขาย แต่ถ้ามีลูกค้าต้องการก็สามารถสั่งซื้อให้ได้ เพราะผมไม่อยากสนับสนุนสักเท่าไหร่”
 
        ร้านกุยลิ้มฮึ้ง
        “ถั่งเช่าที่ร้านเราไม่ได้นำเข้าจากจีนครับ จะนำเข้ามาจากทางทิเบต เกรดเดียวกันหมด ต่างกันแค่ที่ไซส์ ก็จะมีเล็ก กลาง ใหญ่ ที่ร้านเราจะขายเป็นตำลึงครับ เริ่มตั้งแต่ตำลึงละ 28,000-40,000 บาท” (1 ตำลึง เท่ากับ 60 กรัม)
 
        ร้านเวชพงษ์โอสถ
        “ถั่งเช่าที่นี่นำเข้ามาจากประเทศจีน มันก็จะมีอยู่หลายเกรดค่ะ เริ่มต้นจากกรัมละ 950 บาท ไปจนถึง 2,500 บาท ส่วนลูกค้าก็มักจะเป็นเจ้าเดิมๆ ลูกค้าประจำค่ะ”
 
        ร้านถงเยิ๋นถัง
        “มีขายค่ะ เต็มตัวสวยๆ เลย ไม่มีหาง มีหลายไซส์ให้เลือก ถ้าจำนวนเส้นน้อย ไซส์ใหญ่ เต็มตัว ก็จะราคาสูงหน่อย ส่วนบางที่เขาขายแบบที่หักๆ ไม่ครบตัว ราคาก็จะถูกกว่านี้ อย่างราคาร้านเราก็จะตามนี้
        ไซส์ 4,000 เส้น ต่อกิโลกรัม ราคากรัมละ 1,200 บาท
        ไซส์ 3,800 เส้น ต่อกิโลกรัม ราคากรัมละ 1,400 บาท
        ไซส์ 2,500 เส้น ต่อกิโลกรัม ราคากรัมละ 1,600 บาท
        ไซส์ 2,000 เส้น ต่อกิโลกรัม ราคากรัมละ 1,900 บาท
        ไซส์ 1,200 เส้น ต่อกิโลกรัม ราคากรัมละ 2,500 บาท
        แต่เดี๋ยวนี้คนซื้อน้อยหน่อย เพราะราคามันแพงขึ้น”
 
       เด็ดไม่แพ้ “สมุนไพรไทย”
 
        ถึงแม้สรรพคุณอย่าง “ถั่งเช่า” จะดีเลิศขนาดไหน แต่เห็นราคาแล้วคงขยาด เพราะสูงลิ่วจนเกินเอื้อมถึง แต่อย่างคนใหญ่คนโต ก็ต้องมีเงินถุงเงินถังจ่ายได้อยู่แล้ว ทำให้สมุนไพรถั่งเช่านั้น อาจได้รับความนิยมในกลุ่มคนมีฐานะเท่านั้น เภสัชกรหญิง เย็นจิต เตชะดำรงสิน ผู้ อำนวยการสถาบันแพทย์แผนไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เคยได้ให้สัมภาษณ์ว่า ราคาที่สูงมากขนาดนี้ คนไข้หลายคนคงสู้ไม่ไหว แต่ก็มีสมุนไพรจีนอีกชนิดหนึ่งที่ทดแทนได้
 
        “สมุนไพรถั่งเช่านั้น ดีแต่เราไม่สามารถเอามาใช้ได้ทั่วไป เพราะราคาแพงมาก ชั่งละหลักแสนบาท 1 ชั่งถ้าเป็นชั่งของไทยจะหนักประมาณ 600 กรัม แต่ถ้าเป็น 1 ชั่งของจีน จะหนักประมาณ 500 กรัม หรือครึ่งกิโลกรัม ยาครึ่งกิโลกรัมราคาเป็นแสนบาทนั้น คนไข้ส่วนใหญ่จะรับไม่ไหวและจะเข้าถึงยาตัวนี้ไม่ได้เลย
ดังนั้นถั่งเช่าจะใช้ได้กับคนที่มีฐานะดีเท่านั้น ขณะที่คนทั่วไปเราสามารถใช้สมุนไพรชนิดอื่น ที่มีสรรพคุณเดียวกันรักษาได้เหมือนกันมาแทนได้ ซึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณใกล้เคียงกับถั่งเช่า ก็มีอยู่ เช่น ปั๊กพี้ ที่มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงปอด และบำรุงไต โดยปั๊กพี้นี้หาซื้อได้ตามร้านขายยาแผนโบราณทั่วไป ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ ปกติจะมีการนำปั๊กพี้เป็นส่วนผสมในการตุ๋นไก่ ตุ๋นเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่แล้ว”
 
        ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านเห็ดอย่าง ดร.อานนท์ ก็กล่าวว่า ความจริงสมุนไพรไทยนั้นดีที่สุด แต่คนไทยมักมองข้าม และหันไปพึ่งสมุนไพรต่างแดนราคาแพง ทั้งๆ ที่เรามีของดีมากมายอยู่ในตัว
 
ขอบคุณ
ผู้จัดการออนไลน์ ASTV ผู้จัดการ Live

ติดต่อสอบถามได้ทุกวันทำการ 
ติดต่อคุณฐาน์ณัฐ 
โทรศัพท์ : 086-988-4754(สาย1)
         099-294-6122(สาย2) 
Line ID : 0869884754 
อีเมลล์ :endor_oil@hotmail.com , mgmgrandproduction@hotmail.com
เว็บไซต์บริษัท : 






"หญ้ารีเเพร์" หญ้ามหัศจรรย์ สาวๆถ้าอยากฟิต"


หญ้ารีแพร์
เป็นที่ฮือฮาในหมู่สุภาพสตรีไม่น้อย เมื่อแพทย์แผนไทยได้เปิดตัวสมุนไพร "หญ้ารีแพร์" หรือ "หญ้าฮียุ่ม" 
ตอนนี้คงไม่มีสมุนไพรตัวไหนมาแรงเท่า "หญ้ารีแพร์" อีกแล้ว สมุนไพรตัวนี้เป็นที่ต้องการของสาวๆ ไม่น้อย ขายดิบขายดีเป็นที่ต้องการของตลาด มีกระแสหญ้ารีแพร์ฟีเวอร์ จนทำให้เจ้าพวกโจรแสบในหลายๆ พื้นที่ ทำการขโมยหญ้ารีแพร์จากชาวบ้านเพื่อนำไปขาย
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมหญ้ารีแพร์ถึงฟีเวอร์ได้ขนาดนี้? ไทยรัฐออนไลน์ จึงนำ 10 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ "หญ้ารีแพร์" สมุนไพรที่กำลังฟีเวอร์ที่สุดตอนนี้ มาให้ได้อ่านกัน!
1.คุณสมบัติของ หญ้ารีแพร์ สามารถช่วยให้ช่องคลอดของหญิงที่ผ่านการคลอดลูกมาแล้วความกระชับ ฟิต มากยิ่งขึ้น
2.หญ้ารีแพร์ เป็นพืชสมุนไพรที่ภูมิปัญญาไทย สามารถนำไปอาบ อบ และกิน ช่วยทำให้ผิวพรรณกลับมาเปล่งปลั่ง มดลูกเข้าอู่ และบาดแผลหายเร็วขึ้น
3.หญ้ารีแพร์โด่งดังในชั่วข้ามคืน เพราะว่า รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดนิทรรศการงานมหกรรมสมุนไพร ที่เมืองทองธานีที่ผ่านมา ได้ออกบูธร่วมกับกรมแพทย์ทางเลือกฯ มีการนำหญ้ารีแพร์มาโชว์
4.หญ้ารีแพร์พบได้ทั่วไปในสวนที่มีสภาพรกครึ้ม ดินอุดมสมบูรณ์
5.ในทางวิทยาศาสตร์พบว่า หญ้ารีแพร์เป็นพืชตระกูลเดียวกับไผ่ มีสาร "ซิลิกา" (silica) อยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารต้นกำเนิดของคอลลาเจน และน้ำไขข้อในร่างกาย หากขาดสารนี้จะทำให้มีลักษณะแก่ก่อนวัย
6.วิธีใช้ หญ้ารีแพร์ ทำได้ด้วยการนำหญ้า ไปตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นก็นำหญ้าประมาณหนึ่งกำมือมาเผาร่วมกับไม้ผุ หรือถ่านจนเกิดควัน แล้วก็นำหญ้าที่เผาจนเกิดควันมาวางไว้ใต้เก้าอี้ ที่ผ่านการเจาะรูเป็นวงกลม หลังจากนั้นหญิงที่ผ่านการคลอดบุตร หรือหญิงที่ต้องการยกกระชับช่องคลอดและมดลูก ก็มานั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อรมกระชับช่องคลอดได้เลย ส่วนระยะเวลาในการรมนั้นจะรมจนกว่าควันจะหมด ทั้งนี้ ในการรมควันจะทำติดต่อกันประมาณ 2-5 วัน

7.หญ้ารีแพร์สามารถใช้กินได้ด้วย โดยการนำยอดหญ้ามาลวกจิ้มน้ำพริก นำใบขยี้กับน้ำร้อน หรือต้มแล้วคั้นแต่น้ำดื่ม มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยสมานแผล ทำให้ผิวเก็บกักน้ำได้ดีขึ้น ผิวพรรณจึงชุ่มชื้น เปล่งปลั่งเต่งตึง
8. คนโบราณแม้จะมีลูกหลายคน แต่ก็ยังมีความสุขในชีวิตคู่ได้ เพราะใช้หญ้ารีแพร์เลยไม่ต้องกังวลกับเรื่องช่องคลอดที่ไม่กระชับ ไม่ต้องรอนานที่จะมีอะไรกัน
9.หญ้ารีแพร์ repair มีชื่อเดิมคือ "หญ้าฮียุ่ม" แต่เรียกออกสื่อแล้วเรียกชื่อนี้จะดูไม่ดี จึงได้ตั้งชื่อเรียกขึ้นใหม่ว่า หญ้ารีแพร์
10.แพทย์ยืนยันว่า หญ้ารีแพร์ ไม่มีอันตราย มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพพอสมควร เนื่องจากมีการใช้กันมาหลายร้อยปี
ปิดท้ายอีกสักข้อ แพทย์แผนไทยแนะสาวใหญ่ถ้าอยากฟิตโดยไม่พึ่งหญ้ารีแพร์ต้องหมั่นฝึก ‘ขมิบ’ ทุกๆ วัน  
ขอบคุณ ไทยรัฐ

ติดต่อสอบถามได้ทุกวันทำการ 
ติดต่อคุณฐาน์ณัฐ 
โทรศัพท์ : 086-988-4754(สาย1)
         099-294-6122(สาย2) 
Line ID : 0869884754 
อีเมลล์ :endor_oil@hotmail.com , mgmgrandproduction@hotmail.com
เว็บไซต์บริษัท : 



"เเก่นตะวัน" มีประโยชน์

แก่นตะวัน
"แก่นตะวัน" นั้น เรียกได้หลายชื่อทั้ง "ทานตะวันหัว" และ "แห้วบัวตอง" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เยรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก (Jerusalem artichoke) บางทีก็เรียกว่า ซันโช้ก (sunchoke) ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์คือ Helianthus tuberosus L. เป็นพืชดอกในตระกูลทานตะวัน ซึ่งมีต้นกำเนิดในตอนใต้ของประเทศแคนาดา และตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ จึงสามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน และเขตกึ่งหนาวอย่างทวีปยุโรป ทำให้ต้น "แก่นตะวัน" เป็นที่รู้จักในหลาย ๆ ภูมิภาค

โดยลักษณะต้นของ "แก่นตะวัน" จะสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ "แก่นตะวัน" มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง และทานตะวัน แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ "แก่นตะวัน" ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม

นั่น ก็เพราะที่ส่วนหัวของ "แก่นตะวัน" จะมีสารอินนูลิน (Inulin) ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรักโตสโมเลกุลยาว จึงเป็นพืชพรีไบโอติกที่มีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเข้าไป สารดังกล่าวจะไปช่วยดักจับยึดไขมันในเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือ LDL ที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปทิ้งออกทางอุจจาระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี 

และ ถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ "แก่นตะวัน" ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โคลิฟอร์ม (Coliforms) และ อี.โคไล (E.Coli) ในขณะเดียวกัน "แก่นตะวัน" ก็จะไปเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) ให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
นอก จากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน "แก่นตะวัน" ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้มีผู้ทดลองวิจัยให้หนูทานอาหารผสมอินนูลินนาน 3 สัปดาห์ และพบว่า น้ำหนักตัวของหนูลดลงจากเดิมถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่ง หากคนรับประทานแก่นตะวันซึ่งมีอินนูลินสูงเข้าไป ก็จะช่วยเรื่องการลดน้ำหนักตัวได้เช่นกัน เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเส้นใยอินนูลินได้ ทำให้สารดังกล่าวตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารหลายชั่วโมง จึงทำให้ผู้รับประทาน "แก่นตะวัน" เข้าไป ไม่รู้สึกหิว และทานอาหารได้น้อยลงนั่นเอง

ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน การรับประทาน "แก่นตะวัน" ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ เพราะ "แก่นตะวัน" มีแคลอรี่ต่ำ และไม่ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยระบุว่า คนที่ทานอินนูลินจะมีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ทานน้ำตาลถึง 40% เลยทีเดียว

สำหรับสรรพคุณอื่น ๆ ของ "แก่นตะวัน" 
1.ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย
2.ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
3.แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก
4.ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
5.ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
6.ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
7.ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
8.กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก ฯลฯ

สรรพคุณของ "แก่นตะวัน" มากมายขนาดนี้แล้ว ก็คงอยากจะลองรับประทานกันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ โดยเราสามารถทาน "แก่นตะวัน" ได้ทั้งแบบสด ๆ เหมือนกับผักสลัดทั่ว ๆ ไป รสชาติจะออกคล้าย ๆ แห้วและมันแกว หรือจะนำไปปรุงสุกเป็นอาหารหลากหลายเมนูก็ย่อมได้ หรือหากใครจะลองนำหัวแก่นตะวันไปตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้งแล้วนำไปอบ ป่นเป็นผงเล็ก ๆ ไปผสมกับแป้งทำขนม คุ้กกี้ ก็จะได้ขนมรสอร่อย แถมยังมีกลิ่นหอม และมีปริมาณอินนูลินจำนวนมากซึ่งดีต่อสุขภาพด้วย

          และ นอกจาก "แก่นตะวัน" จะเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงแล้วแล้ว ยังเป็นพืชที่มีประโยชน์ในด้านพลังงานทางเลือกอีก โดยหากนำหัวสดแก่นตะวัน 1 ตัน ไปหมักด้วยเชื้อยีสต์ จะได้แอลกอฮอล์ไปกลั่นเป็นเอทานอลที่บริสุทธิ์ 99.5% ได้ถึง 100 ลิตร ซึ่งมากกว่าอ้อย 1 ตัน ที่จะให้ปริมาณเอทานอลเพียง 75 ลิตร ดังนั้นแล้ว หากมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการหมัก และกรรมวิธีต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เชื่อได้เลยว่า "แก่นตะวัน" จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในไม่ช้า

          แหม...ประโยชน์ครบเซตอย่างนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนทั่วโลกถึงยกให้ "แก่นตะวัน" เป็นสมุนไพรมหัศจรรย์จริง ๆ

ขอขอบคุณเนื้อหาเเละรูปภาพ
วิกิพีเดีย,คมชัดลึก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

ติดต่อสอบถามได้ทุกวันทำการ 
ติดต่อคุณฐาน์ณัฐ 
โทรศัพท์ : 086-988-4754(สาย1)
         099-294-6122(สาย2) 
Line ID : 0869884754 
อีเมลล์ :endor_oil@hotmail.com , mgmgrandproduction@hotmail.com
เว็บไซต์บริษัท : 

Translate

บทความที่ได้รับความนิยม